วันพุธที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแปล

บทที่ 1
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการแปล
ความสำคัญของการแปล
ปัจจุบันมีการใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเพเล่มขึ้นอย่างกว้างขวาง แสดงให้เห็นว่าภาษาอังกฤษมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ   การแปลจึงมีความสำคัญมากขึ้นเนื่องจากประเทศไทยมีการติดต่อกับต่างประเทศในวงการต่างๆ มากขึ้น บางคนอาจจะรู้ภาษาต่างประเทศไม่ดีพอจึงจำเป็นต้องอาศัยการแปล เพื่อประหยัดเวลาและให้งานมีประสิทธิภาพ
การแปลในประเทศไทย
การแปลในไทยเริ่มมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราช มีการฝึกนักแปลประจำสำนัก และมีการสอนภาษาอังกฤษในราชสำนักและการแปลเริ่มมีบทบาทสำคัญในสังคมไทย ตั้งแต่ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ รวมถึงความเจริญทางเทคโนโลยี่ความต้องการด้านการแปลจึงมากขึ้นเป็นลำดับโดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนา ควรมีการแปลงานทุกด้าน การท่องเที่ยว ด้านวิชาการ การเมือง การศึกษา ฯลฯ เป็นภาษาไทยให้มากที่สุดเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างประเทศ ระหว่างประชาชน และระหว่างสังคม ระหว่างวัฒนธรรมที่แตกต่างกันระหว่างประเทศต่างๆ
              การแปลเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ใช้ในการพัฒนาทั้งทางวรรณคดี วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะทาง science  กับ technology ต้องแปลให้ถูกต้อง การแปลจะต้องมีความรู้ด้านภาษา และต้องเข้าใจวัฒนธรรมของอีกด้วย เช่น สำนวน “ I am mad of my apartment ” ในอเมริกาหมายถึง ฉันไม่ชอบที่อยู่อย่างยิ่ง”  แต่ในอังกฤษหมายถึง ฉันชอบที่อยู่มากทีเดียว
การสอนแปลในระดับมหาวิทยาลัย
             การสอนแปลในระดับมหาวิทยาลัย เป็นการสอนไวยากรณ์ และโครงสร้างของภาษาการใช้ภาษา รวมทั้งการอ่านเพื่อความเข้าใจ เนื่องจากนักศึกษายังขาดความรู้ในเรื่องเหล่านี้และผู้ที่จะแปลได้จะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางภาษาอย่างดีแล้ว
การแปลคืออะไร
               คือการถ่ายทอดความคิดจากภาษาหนึ่งไปยังอีกภาษาหนึ่งโดยมีใจความครบถ้วนสมบูรณ์ตรงตามต้นฉบับทุกประการ ไม่มีการตัดต่อหรือแต่งเติมที่ไม่จำเป็นใดๆ ทั้งสิ้น
         ปราณี  บานชื่น  ได้ให้ความหมายของการแปลไว้คือ
1.     การแปลเป็นกระบวนการที่กระทำต่อภาษา คือ เอาข้อความที่เขียนด้วยภาษาหนึ่ง ไปใช้แทนอีกภาษาหนึ่ง
2.     การแปลเป็นทักษะพิเศษ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
3.     ผู้แปลจะต้องถ่ายทอดความคิดจากต้นฉบับออกมาเป็นภาษาที่ต้องการได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ขึ้นอยู่กับความสามารถและความรู้ของผู้แปล จึงเป็นเรื่องที่สามารถเรียนรู้และฝึกปฏิบัติได้
คุณสมบัติของผู้แปล
                ผู้แปลควรมีลักษณะดังนี้
1.     เป็นผู้รู้ภาษาอย่างดีเลิศ
2.     สามารภถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้
3.     เป็นผู้ที่มีศิลปะในการใช้ภาษา
4.     เป็นผู้เรียนวิชาภาษาและวรรณคดีหรือภาษาศาสตร์
5.     ผู้แปลจะต้องเป็นผู้รอบรู้ รักเรียน รักอ่าน และรักการค้นคว้าวิจัย เพราะเป็นสิ่งที่สำคัญของการแปล
6.     ผู้แปลต้องมีความอดทนและเสียสละ
       
จุดมุ่งหมายของผู้สอนแปล คือ สอนฝึกและผลิตนักแปลที่มีคุณภาพ
            สรุปคือผู้แปลจะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
1.     รู้ลึกซึ้งในเรื่องภาษา มีความรู้พื้นฐานด้าภาษาอย่างดี มีความสามารถในการใช้ภาษา
2.     รักการอ่าน  ค้นคว้า
3.     มีความอดทนความพยายามที่จะปรับปรุงแก้ไข
4.     มีความรับผิดชอบ รู้จักใช้ความคิดตนเอง
วัตถุประสงค์ของการสอนแปล
1.     เพื่อผลิตนักแปลที่มีคุณภาพให้ออกไปรับใช้สังคมในด้านต่างๆ
2.     การสอนแปลให้ได้ผลตามทฤษฎีวิชาแปลเกี่ยวเนื่องกับ 2 ทักษะคือ ทักษะในการอ่านและทักษะในการเขียน
3.     ผู้สอนแปลต้องหาทางให้ผู้เรียนได้อ่านอย่างกว้างขวาง มีกิจกรรมส่งเสริมให้มีการค้นคว้าเพื่อหาทางแก้ปัญหาด้วยตนเอง ผู้แปลจึงต้องมีประสบการณ์และความรู้จากการอ่านการสังเกต และการค้นคว้าเป็นส่วนใหญ่
4.     ให้ผู้เรียนแปลได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนักแปลเพื่อเป็นการเตรียมตัวที่ดี
บทบาทของการแปล
         การแปลเป็นทักษะพิเศษในการสื่อสาร คือ ผู้รับสาร ไม่ได้รับสารจากผู้ส่งสารคนแรกโดยตรง แต่รับสารจากผู้แปลอีกทอดหนึ่ง   จะเห็นได้ว่า ในการสื่อสาร มีผู้แปลเป็นตัวกลางระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ในฐานะที่ผู้แปลเป็นตัวกลางในการสื่อสารจึงมีบทบาทสำคัญมาก
ลักษณะของการแปลที่ดี
              งานแปลที่ดี เนื้อหาต้องตรงตามต้นฉบับใช้ภาษาชัดเจน ใช้รูปประโยคสั้นๆ รักษาแบบหรือสไตล์การเขียนของต้นฉบับไว้ และมีการปรับแต่งถ้อยคำสำนวนให้เข้ากับสภาพสังคม เพื่อให้ผู้อ่านงานแปลเกิดความเข้าใจ
ลักษณะงานแปลภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทยที่ดี
1.     ภาษาไทยที่ใช้ในงานแปลต้องมีลักษณะเป็นธรรมชาติ ไม่ติดสำนวนฝรั่ง ปรับเป็นสำนวนไทยตามที่ใช้กันโดยทั่วไป
2.     สามารถนำต้นฉบับมาเทียบเคียงกับคำแปลภาษาไทยได้ เน้นความชัดเจนของภาษาเป็นสำคัญ
3.     ใช้การแปลแบบตีความ แปลแบบเก็บความเรียบเรียงและเขียนใหม่ ไม่แปลแบบคำต่อคำ



การให้ความหมายในการแปล
การให้ความหมายมี 2 ประเภท คือ
1.     การแปลที่ใช้รูปประโยคต่างกันแต่มีความหมายอย่างเดียวกัน
2.     การตีความหมายจากปริบทของข้อความต่างๆ
การแปลอังกฤษเป็นไทย ต้องคำนึงถึงความหมาย ดังนี้
1.     อนาคตกาล การแปลที่ต้องเปรียบเทียบระหว่างปัจจุบันและอนาคต
2.     โครงสร้างประโยคอื่นๆ ในการแปลแบบของกาลในภาษาอังกฤษ รวมทั้งโครงสร้างของไวยกรณ์ จะแปลในระดับประโยคไม่แปลในระดับคำและแปลตามความหมายของศัพท์ ไม่ใช้ตามโครงสร้างไวยากรณ์
3.     ศัพท์เฉพาะ  การแปลความหมายตามศัพท์จะดูง่าย เช่น dog , time เป็นต้น แต่ถ้าเป็นเรื่องของโครงสร้าง จะมีศัพท์ที่แปลตามคำแล้วไม่ใกล้เคียงกัน เช่น คำว่า embarrass หรือ bathe ซึ่งตรงข้ามกับคำว่า bath , dish shower และ wash ภาษาไทยใช้คำว่า อาบน้ำ คำเดียว
4.     ตีความทำนาย สิ่งที่สำคัญก็คือ การแปลข้ามภาษาจะต้องคำนึงถึงความหมายทั่วๆ ไปมากกว่าการให้คำเหมือน หรือให้ความหมายเหมือนกับในรูปประโยคที่ต่างกันในภาษาเดียวกัน




การวิเคราะห์ความหมาย
สิ่งที่จะต้องนำมาใช้ในการวิเคราะห์ความหมาย คื
1.     องค์ประกอบของความหมาย
2.     ความหมายและรูปแบบ
3.     ประเภทของความหมาย
องค์ประกอบของความหมาย
1.     คำศัพท์  ความหมาย ของคำแต่ละคำจะเปลี่ยนไปได้ในปริบทต่าง ๆตามที่คำนั้นปรากฏอยู่
2.     ไวยากรณ์  หมายถึง แบบแผนการจัดเรียงคำในภาษา เพื่อให้เป็นประโยคที่มีความหมาย
3.     เสียง ในภาษาจะมีเสียงจำนวนมากซึ่งเป็นเสียงที่มีความหมาย นำเสียงเหล่านี้มารวมกันอย่างมีระบบจะทำให้เกิดเป็นหน่วยความหมาย เรียกว่า คำ
ประเภทของความหมาย
1.     ความหมายอ้างอิง หรือความหมายโดยตรง
2.     ความหมายแปล หมายถึง ความรู้สึกทางอารมณ์ของผู้อ่าน ผู้ฟัง อาจจะเป็นทางบวกหรือทางลบก็ได้
3.     ความหมายตามปริบท รูปแบบหนึ่งๆ ของภาษาอาจจะมีความหมายหลายความหมาย ต้องพิจารณาจากปริบทที่แวดล้อมคำนั้นทั้งหมดจึงจะรู้ความหมายที่ต้องการสื่อ
4.     ความหมายเชิงอุปมา เป็นความหมายที่เกิดจากการเปรียบเทียบ ผู้แปลจะต้องวิเคราะห์การเปรียบเทียบโดยแบ่งองค์ประกอบ ออกเป็น 3 ส่วนคือ
1.สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ
2. สิ่งที่ถูกเปรียบเทียบ
3. ประเด็นของการเปรียบเทียบ
ในบางครั้งประเด็นของการเปรียบเทียบไม่ได้แสดงให้เห็นชัดเจน  ผู้แปลจะต้องค้นหาเอง และเข้าใจความหมายของการเปรียบเทียบได้ถูกต้อง จึงจะจับประเด็นของการเปรียบเทียบได้
การเลือกบทแปล
              เลือกบทแปลตามวัตถุประสงค์ของการสอนแปล โดยคำนึงถึงการทำให้ผู้เรียนได้มีโอกาสตระหนักถึงความบกพร่องต่างๆ ของตนในการแปลและให้ผู้เรียนได้ความรู้ทั้งด้านทักษะทางภาษาและเนื้อหาไปด้วย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น