บันเทิงคดี หมายถึง
งานเขียนทุกประเภทที่ไม่อยู่ในประเภทของงานวิชาการและสารคดี
ทั้งนี้หมายรวมถึงงาน ร้อยแก้วและร้อยกอง บันเทิงคดี มีหลายรูปแบบ ได้แก่
นิทาน นวนิยาย เรื่องสั้น บทเพลง บทกวี ฯลฯ
ซึ่งในการแปลบันเทิงคดีนั้นจะต้องคำนึงถึง องค์ประกอบของงานเขียนแบบบันเทิงคดี องค์ประกอบของภาษา
อีกด้วยเพื่อให้งานแปลที่ได้นั้นถูกต้องสมบูรณ์ และมีเนื้อหาครบถ้วน
องค์ประกอบของงานเขียนแบบบันเทิงคดี บันเทิงคดีนั้นมีรูปแบบที่แตกต่างจากสารคดี
ทั้งในด้านเนื้อหาและองค์ประกอบทางภาษา
บันเทิงคดีอาจเสนอเนื้อหาที่มีความเป็นจริงบ้าง
การถ่ายทอดสาระความรู้ในงานบันเทิงคดีมีความแตกต่างจากการเสนอสิ่งเหล่านี่ในสารคดี
ดังนั้นบันเทิงคดีอาจเป็นการถ่ายทอดสิ่งที่เป็นจินตนาการของผู้เขียนล้วนๆ
หรือถ่ายทอดจิตนาการผสมผสานกับความจริงของปรากฏการณ์ในสิ่งแวดล้อมต่างๆ
ผู้แปลจึงต้องศึกษาและฝึกแปลภาษาเฉพาะของบันเทิงคดีอย่างจริงจัง
ในการแปลบันเทิงคดีผู้แปลต้องคำนึงถึงองค์ประกอบสำคัญ 2 ประการคือ องค์ประกอบทางภาษา
และองค์ประกอบที่ไม่ใช่ภาษา ซึ่งหมายถึงอารมณ์และท่วงทำนองของงาน
อีกหนึ่งสิ่งคือ องค์ประกอบด้านภาษา
สามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
การใช้คำสรรพนามและคำเรียกบุคคล
การใช้คำที่มีความหมายแฝง และภาษาเฉพาะวรรณกรรม
ซึ่งคำที่ใช้เรียกบุคคลไม่หลากหลายและยุ่งยากเหมือนภาษาไทย 1. ภาษาที่มีความหมายแฝง คำศัพท์ในภาษาใดๆ ประกอบด้วยคำศัพท์ที่มีความหมายตรงตัวหรือความหมายตามตัวอักษร
เช่น chicken หมายถึง
ไก่
นอกจากมีความหมายตรงตัวแล้วยังมีความหมายแฝงอีกด้วยเช่น chicken = ไก่
ความหมายแฝงคือ หญิงสาวที่อ่อนต่อโลก
2.ภาษาเฉพาะวรรณกรรมหรือโวหารภาพพจน์
ภาษากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มภาษาที่มีลักษณะเด่นประการหนึ่งคือ
การสะท้อนวัฒนธรรมด้านต่างๆลงไปในตัวภาษา ได้แก่ วัฒนธรรมการกินอยู่ แต่งกาย
การงาน อาชีพ ความเชื่อ ศาสนา เศรษฐกิจ การเมือง สภาพดินฟ้าอากาศ กล่าวได้ว่า
ภาษากลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับทุกแง่มุมของวัฒนธรรมของมนุษยชาติโดยผ่านกระบวนการถ่ายทอดทางภาษา
จะสะท้อนความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาษา
ซึ่งผู้แปลจะต้องศึกษาวัฒนธรรมของภาษาที่จะเปลอย่างลึกซึ้ง
เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างของภาษา โดยรูปแบบเฉพาะของภาษาที่ใช้ในบันเทิงคดีนั้น
ได้แก่ โวหารอุปมาอุปไมย (simile) โวหารอุปลักษณ์ (metaphor)
3.โวหารอุปมาอุปไมย (simile)
เป็นการสร้างภาพพจน์ด้วยวิธีการเปรียบเทียบเพื่อชี้แจง
มีจุดมุ่งหมายเพื่อการชี้แจงอธิบายเน้นสิ่งที่กล่าวถึงให้ชัดเจนและเห็นภาพพจน์มากขึ้น
ข้อสังเกตคือโวหารอุปมาอุปไมยมักมีคำที่ใช้เป็นลักษณะเฉพาะของภาษานั้นคือ คำว่า ดัง
ดั่ง เป็นดัง เหมือน เปรียบเสมือน เหมือนกับราวกับ เปรียบประดุจ เหมือนดั่ง เสมอ
เฉกเช่น นี่คือคำที่ใช้ในโวหารอุปมาอุปไมยในภาษาไทย ส่วนภาษาอังกฤษ ได้แก่คำว่า Be
( is, am, are, was, were) Be like ,
as…..as เป็นต้น ผู้แปลจะแปลโวหารนี้ได้ก็ต่อเมื่อวิเคราะห์ได้ว่า
ประโยคนั้นเป็นการสมมุติแบบใด หากเป็นการสมมุติที่อาจเป็นได้
ผู้แปลจะต้องใช้โครงสร้างเงื่อนไนแบบที่ 1(Conditional sentence type I) แต่หากเป็นการเปรียบเทียบหรือสมมุติสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้นั้นจะต้องใช้โครงสร้างเงื่อนไนแบบที่
2 (Conditional sentence type II)และข้อความความนั้นแสดงว่าเป็นความจริง
ผู้แปลจะต้องใช้ปัจจุบันกาล และส่วนที่เป็นการสมมุติจะต้องอยู่ในรูปของอดีต
ส่วนโวหารอุปลักษณ์ (Metaphor) เป็นการเปรียบเทียบความหมายโดยนำความเหมือนกับไม่เหมือนมาเปรียบเทียบ
ยกตัวอย่างเช่น เงินคือพระเจ้า เขาอยู่อยู่บนเส้นด้าย
หลักการแปลโวหารอุปมาอุปไมย
(simile) และโวหารอุปลักษณ์
(Metaphor) ผู้แปลจะต้องคำนึงถึงโครงสร้างไวยากรณ์และความแตกต่างของวัฒนธรรมทางภาษา
โดยจะมีข้อปฏิบัติทีควรคำนึงดังนี้ a. เมื่อรูปแบบของภาษาสอดคล้องกันและมีความหมายตรงกันระหว่างสองภาษานั้นสามารถแปลตรงตัวอักษรได้เลย
เช่น ออกดอกออกผล = bear fruit b. เมื่อโวหารนั้นไม่มีความสำคัญต่อเนื้อหาผู้แปลสามารถตัดทิ้งได้เลย
c.เมื่องานเขียนเป็น
กวีนิพนธ์นั้นผู้แปลจะต้องทำหมายเหตุหรืออธิบายความหมายของอุปมาอุปไมยหรืออุปลักษณ์ไว้ในเชิงอรรถ
d.สืบค้นโวหารอุปมาอุปไมยและอุปลักษณ์ที่ปรากฏในงานเขียนชนิดต่างๆในภาษแปล
หรือสืบค้นจากเอกสารอ้างอิงจำพวกพจนานุกรมเฉพาะ เช่น Dictionary of Idioms หรือ Expression หนังสือรวบรวมสุภาษิต คำพังเพย คำคม ดังนั้นเมื่อรู้ความหมายแล้ว
ผู้แปลสามารถตัดสินใจได้ว่าควรตัดทิ้งหรือควรแปลเพื่อให้ไดอรรถรสของต้นฉบับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น