ถ้าพูดถึงการแปลแล้วสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆ
ก็คือ กระบวนการแปล แต่ยังมีอีกประเด็นที่ผู้แปลต้องคำนึงถึง
เนื่องจากมีความสำคัญกับงานแปลเช่นกัน สิ่งนั้นก็คือโครงสร้างพื้นฐานของประโยค ซึ่งประโยคภาษาอังกฤษสามารถกระจายออกเป็นรูปโครงสร้างพื้นฐานได้ทั้งนั้น
เพื่อที่จะทำให้ประโยคเหล่านั้นถูกต้องตามหลักของ pragmatic
อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย
มีความหมายที่ชัดเจน มีใจความสมบูรณ์ มีภาษาที่สละสลวย ไม่ซับซ้อน
ดังนั้นโครงสร้างพื้นฐานของประโยคจึงมีความสำคัญต่อกระบวนการแปล
ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานของประโยคนั้นสามารถแบ่งรูปแบบได้ถึง 25 รูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีลักษณะของประโยคแตกต่างกันเช่นกัน
ถ้าแยกข้อความออกเป็นหน่วยประโยคที่สั้นและเล็กที่สุดตามลักษณะของประโยคโครงสร้างพื้นฐานแต่ละแบบแล้วนั้นจะช่วยให้เราวิเคราะห์ความหมายได้ชัดเจนดียิ่งขึ้น
ดังนั้น ฮอร์นบีและคณะได้แยกประโยคพื้นฐานไว้ใน The
Advanced Learner’s Dictionary of Current English ไว้ 25 แบบ โดยจะยึดหลักตามหน้าที่และความนิยมใช้ในการใช้คำกริยาเป็นหลัก
เรียกว่า กระสวนหรือแบบของคำกริยา (verb pattern) ส่วนไนดาและเทเบอร์
ได้แยกประโยคพื้นฐานของภาษาอังกฤษไว้ 7 แบบ
ซี่งเรียกว่า ประโยคแก่น (Kernel sentence) และ สเตจเบอร์ก
( Stageberg) แยกประโยคพื้นฐานที่เรียกว่า ประโยคเปลือย (Bare sentence) ซึ่งต่อไปนี้จะเป็นการยกตัวอย่างของโครงสร้างประโยคพื้นฐานของฮอร์นบีและไนดา
ดังรูปภาพดังต่อไปนี้
ประโยคภาษาอังกฤษสามารถกระจายออกเป็นรูปโครงสร้างพื้นฐานนั้นสามารถแบ่งรูปแบบได้ถึง
25 รูปแบบ
ซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีลักษณะของประโยคแตกต่างกันเช่นกันทั้งนั้นเพื่อที่จะทำให้ประโยค
เหล่านั้นถูกต้องตามหลักของ pragmatic อ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย
มีความหมายที่ชัดเจน มีใจความสมบูรณ์ มีภาษาที่สละสลวย ไม่ซับซ้อน ดังนั้นผู้แปลควรตระหนักว่า
โครงสร้างพื้นฐานของประโยคนั้นมี
ความสำคัญกับงานแปลเป็นอย่างมาก
เพราะหากผู้แปลไม่มีความรู้หรือความเชี่ยวชาญในด้านโครงสร้างพื้นฐาน ก็อาจทำให้งานแปลนั้นผิดเพี้ยนออกไป
ดังนั้นผู้แปลที่ดีควรจะรู้และเข้าใจโครงสร้างพื้นฐานของประโยค
เพื่อทำให้งานแปลที่ได้นั้นถูกต้อง สมบูรณ์ และมีเนื้อห้าครบถ้วนตามต้นฉบับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น