Learning
Log (10)นอกห้องเรียน
ในปัจจุบันนี้ภาที่สามมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะภาษาอังกฤษนับวันจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
ภาษาอังกฤษเป็นเสมือนภาษากลางของโลก สามารถเป็นสื่อที่จะทำให้ทุกคนเข้าใจได้
เป็นใบเบิกทางของการงานที่ก้าวหน้ารวมถึงด้านการศึกษา นอกจากนี้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อกลางในการศึกษา
ภาษาอังกฤษจะเป็นเครื่องมือเปิดทางให้หลายอย่างประกอบกันเป็นความสำเร็จ
หรืออย่างน้อยก็ทำให้ความเข้าใจทางภาษาดีขึ้น
การเรียนด้วยตนเองเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ภาษาพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
การเรียนด้วยตนเองในครั้งนี้คือคำที่มักสับสนในเลาใช้ซึ่งคำเหล่านี้อาจจะมีความหมายที่มักจะสร้างความสับสน
คำว่า adapt : ทำให้ ปรับให้เข้ากับ ดัดแปลง เช่น The shop is
being adapted to proulde more display space. กับคำว่า adopt :รับ รับเอา เช่น We ought to
adopt their suggestion.
คำว่า averse :ไม่สมัครใจ คัดค้าน ไม่ยินยอม เช่น He’s not
averse to the idea. กับคำว่า adverse :เป็นปฏิปักษ์ เสียเปรียบ เช่น an adverse
reaction ทั้งสองคำจะตามหลังด้วย
to
คำว่า affect : มีผลต่อ เกิดปฏิกิริยาต่อ เช่น How has his
death affected her ? คำว่า
effect (v.): ก่อให้เกิด เช่น to effect an escape และ effect (n.): ผล เช่น his warning had no effect.ความผิดที่เห็นคือการใช้ effect (v.) แทน affect คำว่า always ตลอดไป
ประจำสม่ำเสมอ เช่น He’s always helpful. คำว่า all ways
(ใน) ทุกทางที่เป็น ไปได้ เช่น We’re tried all ways. คำว่า aural เกี่ยวกับการได้ยินหรือหู
ส่วน oral จะเกี่ยวข้องกับการพูดหรือปาก และ verbal จะเกี่ยวกับคำพูด เป็นเรื่องปกติจะพูดว่า a verbal
massage หรือ verbal
agreement เมื่อหมายความถึงข่าวสารหรือข้อตกลงที่พูดกันด้วยวาจา
มากกว่าที่จะเป็นการเขียนควรใช้ oral
ถ้าเสี่ยงต่อความสับสนความหมายของ verbal
ที่เกี่ยวข้องกับความหมายอย่างกว้างๆ
ของมัน คำว่า beside
(prep.) อยู่ข้างๆ....
เช่น Sit beside
the fire และแปลว่า
นอกจาก... นี้แล้วยังมี ยกเว้น แล้ว เช่น Nora was there besides us
คำว่า censer (v.) ตัดบางส่วนที่ไม่พึ่งปรารถนาออกจากหนังสือหรือภาพยนตร์
คำว่า censure (v.) ตำหนิ ประณาม คำว่า classic
(adj.) ของชั้นที่สูงที่สุดแบบฉบับที่โดดเด่นเช่น a classic example
of bureaucracy. classic (n.) สิ่งที่มีคุณอย่างสูงสุด เช่น The novel is a classic. คำว่า delusion: ความเชื่อผิดๆ เช่น He’s under
the delusion that… คำว่า
illusion :ความเข้าใจผิด เช่น He has no
illusion about his chances of promotion. คำว่า allusion:
การอ้างอิง การพาดพิง เช่น He made no allusion to his illness
คำว่า dependent (adj.):พึ่งพาอาศัย เช่น He’s dependent on drugs on
control his illness. ส่วนคำว่า
dependent(n.)
:
ผู้อยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ คำว่า practice (n.) เช่น to make practice of doing something ส่วนคำว่า practice (v.) เช่น to practice the piano
ในครั้งต่อมาเป็นการศึกษาเรื่อง question tag
ซึ่งเป็นเป็นรูปประโยคคำถามย่อ
ที่นำมาใส่ในประโยคบอกเล่า
เพื่อเป็นการทิ้งท้ายประโยคให้ผู้สนทนาอีกฝ้ายเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นต่อความคิดหรือประโยคนั้นๆeเน้นย้ำ การประชดประชันหลักการใช้มีหลักนี้ 1. เมื่อประโยคนั้นขึ้นต้นด้วยประโยคบอกเล่าต้องใช้
tag ในรูปปฏิเสธเช่น She loves shopping, doesn’t she? 2. เมื่อขึ้นต้นประโยคด้วยปฏิเสธจะต้องใช้ question tag ในรูปบอกเล่า เช่น He doesn’t like to cook , does he
3.เมื่อประโยคหลักมีกิริยาแท้ เป็น v.to have ให้ใช้ v.to do ใน question tag เช่น We have a lot of friends, don’t we? 4. สามารถนำ กริยาช่วย มาสร้าง question tag เช่น can could may might will shall etc.เช่น We should buy a house, shouldn’t we? 5. ประธานใน question tag ต้องเป็น I you we they he she it เช่น John loves to go the zoo, doesn’t he?
6. คำว่า need และคำว่า dare สามารถใช้ question tag
ได้โดยการใช้ v.to do มาช่วยได้ 7. เมื่อประโยคเป็นรูปแบบของคำสั่ง หรือ ขอร้อง
ที่อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่าสามารถใช้ question tag ได้ทั้งในรูปแบบบอกเล่า หรือปฏิเสธ โดยใช้ can will และ would เข้ามาช่วยสร้างประโยคในส่วนชอง question tag เช่น Go to sleep, will you? 8. หากประโยคขึ้นต้นด้วย let’s จะใช้ ,shall we? และหากเป็น Let+
object+v.1 จะใช้ question tag
ในรูปของ will you? 9.ถ้าประธาน เป็น everyone everybody everything no
one nobody anybody neither จะใช้ they ใน question
tag เท่านั้น10.หากประโยคเป็น ประโยค complex จะใช้ v.ในประโยคหลักใน question tag วิธีการตอบประโยค มักจะใช้ yes , no เข้ามาในการตอบตามด้วย ประธาน + auxiliary
verb เช่น She’s
beautiful, isn’t she? จะตอบว่า
Yes, she is และ No, she isn’t
อีกหนึ่งเรื่องที่เป็นการศึกษาหรือการเรียนรู้ด้วยตนเองคือ
หลักการใช้ v.
to do หลักการใช้คือ
ประธานเอกพจน์ใช้ does ประธานพหูพจน์ใช้
do เช่น he she it a cat… ใช้ does I you we cats ในประโยคบอกเล่า s + do, does แปลว่า ทำเช่น He does homework in the evening. และ s + do, does +v.1 แปลว่า
จริงๆ ใช้เพื่อเน้นย้ำ เช่น I do love
you.
ในประโยคปฏิเสธ จะใช้ do / does +
not ตัวอย่างประโยคเช่น
I don’t
know. He doesn’t love you. ส่วนในประโยคคำถามนั้น แบบ yes/no question
คือ เอา do/does วางไว้หน้าประโยคถ้าไม่มีกริยาช่วยในประโยคให้ใช้
v. to do มาใช้แทนเช่น Do I love a cat? Does she come
from China? และประโยคอีกประเภทหนึ่งคือ
Wh ? คือเอา wh word วางหน้าประโยค ตามด้วย do เช่น Why do you
love? What do you like?
การชมภาพยนตร์เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชื่นชอบมาก
แต่เพื่อทำให้สิ่งที่ชื่นชอบนั้นเกิดประโยชน์
จึงชมภาพยนตร์ที่เป็นภาษาอังกฤษเพื่อเป็นการฝึกทักษะการฟังและการแปลของตนเอง
ซึ่งเรื่องที่ดูกี่ครั้งก็ยังไม่เบื่อคือเรื่อง Harry Potter โดยในเรื่องนี้นี้จะมีคำพูดหรือข้อคิดที่ดีมาก
อาทิ It does not do to dwell on dreams and forgot
to live, remember that –Albus Dambledore : จงจำไว้ว่าอย่ามัวแต่จมอยู่ในความฝันแล้วลืมที่จะใช้ชีวิต
You fail to recognize that it matters not what
someone is born, but what they grow to be คุณล้มเหลว จงตระหนักว่า
ใครจะเกิดเป็นอะไรไม่สำคัญที่สำคัญคือเขาคนนั้นจะเติบโตเป็นอะไร – Albus
Dambledore . Happiness can be found, even in the darkest of time, if one only
remembers to turn on light – Albus Dambledore ความสุขจะถูกค้นพบได้แม้จะอยู่ใช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด Working hard is important but there is
something that matters even more, believing in yourself – Harry Potter ความขยันเป็นสิ่งสำคัญ
แต่บางอย่างที่สำคัญมากยิ่งกว่าคือการเชื่อมั่นในตนเอง Do not pity
the dead. Pity the living, and, above all those who live without love –
Albus Dambledore อย่าสงสารคนที่ตายแล้วไปเลย
สงสารคนที่เขายังมีชีวิตอยู่โดยเฉพาะคนที่อยู่โดยปราศจากความรัก
ในปัจจุบันนี้มรสื่อและสิ่งอำนวยความสะดวกมากายในชีวิตประจำวัน
ซึ่งหากรู้จักใช้สิ่งรอบกายที่เป็นประโยชน์หรือผลดีกับตัวเรามากที่สุด อาทิ การใช่สื่อในการช่วยในการเรียนรู้ของตนเองซึ่งครั้งนี้คือการชมรายการ
A BIT ENG (a
little bit of English) ในตอน
Let it go
ซึ่งผู้ดำเนินรายการได้นำเอาสิ่งที่ใกล้ตัวมาทำให้เกิดประโยชน์
คือการเรียนรู้ภาษาอังกฤษจากการฟังเพลง เพลงที่เลือกมาคือ Let it go เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Frozen โดยมีคำศัพท์ที่น่าสนใจ อาทิ I came
across a…. ฉันบังเอิญเจอ
..... Catchy ติดหู/จดจำง่าย Can’t hold it back any more.ไม่สามารถเก็บไว้ ได้อีกต่อไป turn
away หันไป slam the
door ปิดประตูอย่างแรง what they are going to say เขาจะพูดอะไร rage ความโกระอย่างรุนแรง the cold never bothered me anywayความหนาวทำอะไรฉันไม่ได้อยู่ดี
don’t bother me อย่ารบกวนฉัน
การเรียนภาอังกฤษให้ประสบความสำเร็จต้องใช้เวลา
จากการเรียนรู้และการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญเพราะเพียงแต่ความรู้คงยังไม่พอ
จึงเห็นได้ว่าในการเรียนภาษาให้ประสบผลสำเร็จนั้นผู้เรียนจะต้องมี 2 สิ่งคือ ความรู้และทักษะ
ภาเปรียบเสมือนใบเบิกทางให้สิ่งต่างๆดีขึ้น อาทิ การเรียน การทำงาน หรือโอกาสต่างๆ
อีกมากมายเนื่องจากในปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางหรือภาษาสากลเพราะอาจทำให้ทำอะไรก็ต้องใช้ภาษาเป็นสื่อกลางดังนั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการใช้ภาษาอังกฤษที่ตั้งไว้
ผู้เรียนภาษาควรมีความรู้ในเรื่องต่างๆ อย่างชัดแจ้งและมีทักษะในการใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น