Learning Log (8)ในห้องเรียน
ในการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดี
คือผู้เรียนจะต้องมีความรู้ละความสามรถหรือพัฒนาทักษะในการใช้ภาษาไปพร้อมๆกัน
ดังนั้นผู้เรียนภาษาควรมีทั้งความรู้เรื่อง Grammar (ไวยากรณ์)
และ Usage (วิธีการใช้)
ซึ่งเป็นปัจจัยเบื้องต้นในการใช้ภาษา ดังนั้น การที่เราจะประสบความสำเร็จ
ในการใช้ภาษาผู้เรียนควรมีทั้งความรู้และทักษะ ซึ่งในการเรียนรู้ในห้องเรียน
ในครั้งนี้คือการศึกษาเรื่อง Noun clause
Noun
Clause (นามานุประโยค) คือประโยคที่ทำหน้าที่เดียวกับคำนามตัวหนึ่ง
คือสามารถใช้ประธาน เป็นกรรม เป็นส่วนสมบูรณ์หรือเป็นนามซ้อนได้ หน้าที่ของ noun
clause
คือ 1.เป็นประธาน
(subject) ของกริยา (verb) เช่นWhat she
us doing seems very difficult. Where he lives is not know. 2.เป็นกรรม (object) ของกริยาเช่น I want to
know where she lives. He promised that he could pay back the debt. 3.เป็นกรรมของบุพบท (Preposition)
เช่น Wan
laughed at what they said. She is waiting for what she wants. 4.เป็นส่วนสมบูรณ์
(complement)
ของกริยา เช่น This is
what you want. It seems that is impossible
5.เป็นคำซ้อนของนามอีกตัวหนึ่ง (Appositive) เช่น His
belief that coffee will keep him alert is incorrect. The news that he intended
to come gave us much pleasure.
ประเภทของ Object
Noun Clause ซึ่ง object noun clause จะต้องอยู่คู่กับ
main clause เสมอ ซึ่ง noun
clause
จะมี 3 ประเภทได้แก่
ประเภทที่หนึ่ง ขึ้นต้นด้วย that จะใช้ในกรณีดังต่อไปนี้ 1.ใช้ตามหลัง verb
บางตัวที่แสดงความรู้สึก ความคิด หรือความคิดเห็น เช่น agree,
feel, know, etc. ตัวอย่างประโยคเช่น I agree
that we should follow him 2.ถ้าเป็นภาษาพูดมักจะละคำว่า that เช่น I think
(that) it’s red, not blue. 3. Verb ใน main clause มักจะเป็น present
tense แต่
verb
.น
noun
clause จะเป็น tense อะไรก็ได้เช่น
I
believe it’s raining. 4.ในการสนทนาถ้าต้องหลีกเลี่ยงคำว่า
that
ที่บ่อยเกินไปหรือไม่ต้องการพูด
noun
clause
สามารถตอบโดยคำว่า so หรือ not หลัง main
clause ได้เช่น Is Surawee here today? I think so. Are we
ready to leave? I’m afraid not.
ประเภทที่สอง
ขึ้นต้นด้วย Wh- word ( what, where,
when, why, how) เช่น I know why he comes home very
late มีหลักเกณฑ์ดังนี้
การใช้เครื่องหมายวรรคตอนของประโยค กล่าวคือ ถ้า main clause เป็นคำถามจะใช้ question
mark ปิดประโยค
แต่ถ้าเป็นประโยคบอกเล่าจะใช้ full stop เช่น Could you tell me where the elevators are? (คำถาม) I’m
wondering where the elevators are (บอกเล่า) 3.ใช้เพื่อแสดงให้คู่สนทนาทราบว่า
เราไม่รู้ หรือ เราไม่แน่ใจ เช่น I don’t know much it costs. I’m
not sure which house is his.
ประเภทสุดท้าย
คือ ขึ้นต้นด้วย if หรือ whether เช่น Did they
pass the exam? มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ มักใช้ Whether ใช้สถานการณ์ที่เป็นทางการ
เช่น Sir,
I would like to know whether you prefer coffee or tea. Tell me if you want to
go with us or not. 3.ใช้เมื่อ main clause แสดงวามคิด หรือ ความคำนึง เช่น I can’t
remember if I had already paid him. I wonder whether he will arrive in time. 4.ใช้เมื่อต้องการถามคำถามอย่างสุภาพเช่น
Do
you know if the principal is in his office. Can you tell me whether the tickets
include drink?
That ในประโยค noun
clause นั้นสามารถละได้ โดยเฉพาะในภาษาพูดจะละ that เสมอแต่ในกรณีต่อไปนี้
จะละไม่ได้คือ 1.เมื่อขึ้นต้นประโยคต้องใส่ that เสมอเช่น That
coffee grows in Brazil is true 2.เมื่อ that
เป็นคำซ้อนนามทที่อยู่ข้างหน้ามัน (Appositive) ต้องใช้ that เสมอเช่น The news
that he was murderer is not true 3.เมื่อ that อยู่หลัง It is/was
ต้องใส่ that เสมอเช่น It is
true that earth move round the sun.
สรุปได้ว่า noun
clause หรือ นามานุประโยค
คือประโยคที่ทำหน้าที่เหมือนกับคำนามซึ่งสามารถเป็นได้ ประธาน (subject)
กรรม (object)
และส่วนขยาย (complement)
ได้จึงจะเห็นได้ว่าหากผู้เรียนภาษามีความมุ่งมานะที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย
ที่ตั้งไว้ต้องอาศัยทั้ง ความรู้และทักษะรวมทั้งสิ่งต่างๆ
เพื่อทำให้ตัวผู้เรียนภาษาไปถึงจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น