วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Learning Log (3) ในห้องเรียน


Learning Log (3) ในห้องเรียน

                             มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการรับรู้ได้อย่างมากมาย สามารถใช้ความรู้นั้นเพื่อ พัฒนาตนเอง ครอบครัว สังคมได้ การเรียนรู้หมายถึง พัฒนาการรอบด้านของชีวิตมีองค์ประกอบ ปัจจัย และกระบวนการ มีพลังขับเคลื่อนสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างผสมกลมกลืน ซึ่งการเรียนรู้ที่ทุกคนจะต้องผ่านหรือหรือได้รับการศึกษาคือ การเรียนรู้ในห้องเรียน มีวัตถุประสงค์คือเพื่อถ่ายทอดเนื้อหา ความรู้ ความเข้ใจที่เหมาะสมเพื่อให้ผู้ที่ได้รับการศึกษามีความรู้และสามารถประกอบอาชีพตามความถนัด ความสนใจ หรือตามโอกาสของแต่ละบุคคล

                       การเรียนรู้ในห้องเรียนครั้งนี้คือเรื่อง Tense (กาล) หมายถึงรูปแบบของคำกริยาที่ไปแสดงถึงเหตุการณ์หรือการกระทำต่างๆ ว่าเกิดขึ้นแล้ว กำลังขึ้นอยู่ หรือยังไม่เกิดขึ้น โดยแบ่งเป็น 3 ชนิดคือ   Present tense, Past tense, Future tense  และสามารถแบ่งย่อยได้อีก คือ Present simple tense โครงสร้างของประโยคคือ s + v.1 ถ้าประธานเป็นคำนามเอกพจน์  จะต้องเติม s, es ท้ายคำกริยา กฎของการเติมมีดังนี้ คือ 1. เติม es เมื่อลงท้ายด้วย s, es, sh, ch ,x ,z ,zz ,o  2. ถ้ากริยาลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน เป็น i แล้วเติม es  3. ถ้าคำกริยาลงท้ายด้วย y แต่หน้า y เป็นสระ (a, e, i, o, u,) ให้เติม s ได้เลย

                     รูปแบบประโยคปฏิเสธ s + do not + v.1 เช่น I don’t go to bed at ten p.m. และรูปแบบประโยคคำถาม Do/Does + s + v.1 + Complement? ตอบ Yes,+ s + do/does  No,+ s + don’t/doesn’t .

                Present Continues tense จะใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนั้น หรือปัจจุบันและ ดำเนินต่อไป โครงสร้างประโยคบอกเล่า: s+is/am/are+ v.ingโครงสร้างประโยคปฏิเสธ:s+v.to be+not+v.ingโครงสร้างประโยคคำถาม: V.to be+s+v.ing มีหลักการใช้ดังนี้  1.ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นมักจะมีคำว่า now เช่นYou’re studying English now. 2.ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังทำอยู่ในช่วงนี้ แต่อาจจะไม่ได้เกิดขณะที่พูดก็ได้ เช่น I’m not studying. 3.ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดในอนาคตอันใกล้เช่น I’m meeting some friends after work. 4.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา เช่น she is always coming to class late.

                   Present Perfect  tense ใช้แสดงว่า จากจุดเริ่มต้นเมื่อใดอดีตมาจนถึงปัจจุบันมีอะไรเกิดขึ้น เหตุการณ์ยังดำเนินอยู่หรือจบไปแล้วก็ได้ โครงสร้างประโยคบอกเล่า s+has/have+v.3ประโยคปฏิเสธs+ has/have +not+v.3 ประโยคคำถาม Has/Have+s+v.3 มีหลักการใช้คือ 1.ใช้เมื่อต้องการบอกหรือถามว่าตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันเคยหรือไม่เคยทำอะไรบ้าง เช่น         She has traveled to Korea several time. 2.ใช้กับตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และดำเนินมายังปัจจุบัน เช่น I have had a lot of toys. 3.ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังส่งผลถึงปัจจุบันเช่น it has stopped raining. 4.ใช้พูดถึงเหตุการณ์หือการกระทำที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในช่วงเวลาตั้งแต่อดีตและปัจจุบันเช่น I’ve read this book more than 3 times. 5.ใช้กับเหตุการณ์ที่พึ่งสิ้นสุดลงเช่น I’ve just finished my homework. 6.ใช้กับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดเร็วๆนี้เช่น the meeting has just started. 7.ใช้กับ sine และ for เช่น I’ve been here since I was about 15 years old.

                    Present Perfect Continuous tense ใช้แสดงเหตุการณ์ในอดีตต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันและดำเนินอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือในขณะที่พูด โครงสร้างประโยคบอกเล่า s+has/have+been+v.ing ประโยคปฏิเสธ s+has/have+not+been+v.ing ประโยคคำถามHas/Have +s +been+ V.ing? หลักการใช้คือ 1.ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตต่อเนื่องมายังปัจจุบัน และยังดำเนินต่อไปในอนาคตเช่น she has been sitting here for an hour. 2.คำกริยาที่ใช้กับ tense นี้จะต้องแสดงถึงความต่อเนื่อง เช่น I’ve been playing games since afternoon. 3.ใน tense นี้อาจนำมาใช้กับเหตุการณ์ที่สิ้นสุดแล้วแต่ยังส่งผลมาถึงปัจจุบันเช่น    you look tried. Have you been sleeping properly?

                     Past Simple tense เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบไปแล้ว เวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต โครงสร้างประโยค s+v.2 มีหลักการใช้ คือ 1.ใช้เล่าเหตุการณ์ในอดีตเช่น we watched TV. last night  2. ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดไปในอดีต แต่ไม่มาถึงปัจจุบันเช่น he passed away in 1998.

                      

          

                     Past Continuous tense ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต มีหลักการใช้คือ 1.ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและมีอีกเหตุการณ์หนึ่งมาแทรกเช่น while I was eating, a telephone rang 2.มีการระบุเวลาที่ชัดเจในอดีตเช่น At midnight, we were still talking. 3.ใช้บอกว่ามีเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ กำลังเกิดขึ้นพร้อมกันเช่น Were you listening while he was talking? 4.ใช้กับการทำพฤติกรรมนั้นซ้ำๆในอดีตที่ไม่น่าจะเกิดเช่นHe was constantly talking. He annoyed everyone.

                  Past Perfect tense ใช้แสดงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต มีการดำเนินอยู่ต่อเนื่องไปช่วงเวลาหนึ่งและจบลงก่อนที่อีกเหตุการณ์หนึ่งจะเกิดขึ้นโครงสร้างประโยคบอกเล่า s+had+v.3 ประโยคปฏิเสธ s+ had not+v.3 ประโยคคำถาม Had+s+v.3? มีหลักการใช้คือ 1.ใช้กับ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลง ซึ่งเหตุการณ์หนึ่งได้สิ้นสุดลงก่อนอีกเหตุการณ์โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงก่อนใช้ past perfect, past simple

                   Past Perfect Continuous tense มีโครงสร้างดังนี้ประโยคบอกเล่า s+had+been+v.ing ประโยคปฏิเสธ s+had not + been+v.ing ประโยคคำถาม Had+s+been+v.ing มีหลักการใช้คือ     1.ใช้กับเหตุการณ์ทึ่เกิดขึ้นและดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงอีกเหตุการณ์หนึ่งในอดีตเช่น   she had been shouting for help since she fell down the stairs.

                   Future Simple tense ใช้พูดถึงเรื่อราวที่เกิดขึ้นและจบลง ในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โครงสร้างประโยคบอกเล่า s+will/shall+v.1  ประโยคปฏิเสธ s+will/shall+not+v.1 ประโยคคำถาม Will/Shall +s +v.1? มีหลักการใช้คือ 1.ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเช่น I will go to the hospital tomorrow. 2.ใช้กับประโยคที่ตัดสินใจในขณะที่พูดโดยไม่ได้วางแผนก่อน เช่น I think I will buy a new mobile phone next week. 3. อาจใช้ to be going แทน will/shall ได้เช่น He is going to have a new pet.

                  Future Continuous tense ใช้แสดงถึงเหตุการณ์หรือเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น โครงสร้างประโยคบอกเล่า s+will/shall+be+v.ing  ประโยคปฏิเสธ s+will/shall+not be+v.ing ประโยคคำถามWill/Shall +s+be+v.ing มีหลักการใช้คือ 1.ใช้กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามวันหรือเวลาที่กำหนดไว้ในอนาคตอย่างชัดเจน เช่น He will be finishing his work  at 7 o’clock. 2.ใช้กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน เช่น You will be laughing when you see her with that dress.

                   Future Perfect tense ใช้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเหตุการณ์จะดำเนินไปจนถึงเวลาที่กำหนดไว้ แล้วก็สิ้นสุดลง โครงสร้างประโยคบอกเล่า s+will/shall+have+v.3 ประโยคปฏิเสธ s+will/shall +not +have+v.3 ประโยคคำถาม Will/Shall+s+havev.3? มีหลักการใช้คือ 1.ใช้กับเหตุการณ์ที่คาดว่าจะสิ้นสุดในเวลาที่กำหนดไว้ในอนาคต เช่น I will have completed my work by tomorrow. 2.ใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่คาดว่าจะเกิดในอนาคตเช่น The kids will have woken up when we reach home.เกิดก่อนใช้ future perfect, present simple

                     Future Perfect Continuous tense ใช้กับเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกับ future perfect มากโดยใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดหนึ่งในอนาคต แต่จะไปเน้นว่าเหตุการณ์ดำเนินอย่างต่อเนื่อง และเมื่อถึงจุดนั้นในอนาคตเหตุการณ์นั้นคงอยู่ โครงสร้างประโยคบอกเล่า s+will+ have+been+v.ing ประโยคปฏิเสธ s+will+not+have+been+ v.ing  มีหลักการใช้คือ 1.เน้นการกระทำหรือเหตุการณ์ที่ดำเนินอยู่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งและยังคงดำเนินต่อไปอีกในอดีตโดยมักใช้กับ for เพื่อแสดงระยะเวลาของเหตุการณ์เช่น In 5 minutes, I will have been working for 12 hours. 2.ใช้กับเหตุการณ์ที่ต้องการเน้นความต่อเนื่องของการกระทำหนึ่งในอนาคตเช่น He shall have been cleaning his room for hour when I visit him.

                      สรุปได้ว่าจากการเรียนรู้เรื่อง tense หรือ กาลทั้ง 12 ทำให้เราได้ทราบว่าพื้นฐานหรือโครงสร้างของภาษาไทยและภาษาอังกฤษนั้นแตกต่างกัน เพราะภาษาอังกฤษจะมี tense (กาล)แต่ในโครงสร้างภาษาไทยไม่มี ภาษาอังกฤษนั้นกริยาจะผันตามประธานหรือผันตาม tense แต่ในภาษาไทยกริยาตัวไหนก็ตัวนั้นไม่มีการผัน การเปลี่ยนรูปต่างๆ ดังนั้นในงานแปลทุกครั้งหากผู้แปลเข้าใจโครงสร้างและความแตกต่างระหว่าง 2 ภาษานี้ก็จะทำให้ได้งานแปลที่มีคุณภาพ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น